ในช่วงที่ผ่านมา LG จากที่เคยเรียกเสียงฮือฮาจากการเปิดตัวสมาร์ทโฟนระดับเรือธงมาวางจำหน่ายในตลาด แต่ยอดขายที่ผ่านมานั้นกลับไม่ได้ดีเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายต่าง ๆ อีกทั้งยังสูญเงินจำนวนมากในการพัฒนาสมาร์ทโฟนรุ่นต่าง ๆ เพื่อออกมากู้สถานการณ์ ตั้งแต่การใส่กิมมิคอย่างการถอดท้ายเครื่องเพื่อใส่อุปกรณ์เสริมเข้าไปใน LG G5 หรือการทำสมาร์ทโฟนเพื่อเจาะตลาดคนฟังเพลงในตระกูล V
หลังจากที่เลื่อนการออกสมาร์ทโฟนเรือธงในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อลดความร้อนแรงในการแข่งขันกับคู่แข่งร่วมชาติอย่างซัมซุง ในที่สุด LG ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว LG G7 ThinQ อย่างเป็นทางการเสียที
AI คือจุดขายสำคัญของ LG G7 ThinQ
สิ่งหนึ่งที่ LG ได้ออกสายมาตลอดตั้งแต่ช่วงงาน CES 2018 ที่ผ่านมา คือความพยายามที่จะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาใช้ร่วมกันกับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของ LG ภายใต้แบรนด์ ThinQ ตั้งแต่การนำมาใช้กับเครื่องปรับอากาศ, ระบบเสียง, รถยนต์ หรือแม้กระทั่งผู้ช่วยส่วนตัวในบ้าน ซึ่ง LG จริงจังกับมันมากถึงขนาดพัฒนาระบบ DeepThinQ ที่เน้นเรื่องการจับเสียง ภาพ หรือเซ็นเซอร์มาใช้งานจริง แถมยังจับมือกับกูเกิล นำ Google Assistant มาใช้ร่วมกันกับอุปกรณ์ที่มี ThinQ อีกด้วย
แน่นอนว่าความตั้งใจในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ร่วมกับสมาร์ทโฟนของ LG นั้นก็อยู่ในแผนนั้นด้วยเช่นกัน โดย LG ได้นำเทคโนโลยี AI มาใช้ร่วมกับกล้องด้วยฟีเจอร์ AI CAM ถ้าฟังแล้วรู้สึกคุ้น ๆ ก็อย่าแปลกใจไป เพราะอย่างแรกคือ LG ได้ออกฟีเจอร์นี้ให้กับตระกูล LG V30 ไปก่อนหน้านี้แล้วเมื่องาน Mobile World Congress 2018 ที่ผ่านมา และอย่างที่สองคือ หัวเหว่ย ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนระดับต้น ๆ ของจีนก็เคยออกฟีเจอร์นี้ใน Huawei Mate 10 ไปแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่ LG จะยังคงนำฟีเจอร์นี้มานำเสนอใน LG G7 ThinQ
สำหรับตัว AI CAM นั้น LG บอกว่า ตัวเครื่องสามารถวิเคราะห์รูปแบบของภาพที่จะถ่ายได้ถึง 19 รูปแบบ เพิ่มเติมจาก 8 ที่มีอยู่ในตระกูล LG V30 โดยตัวเครื่องจะวิเคราะห์และจัดค่าสี, ความกว้างของแสง และด้านอื่น ๆ ที่ทำให้ภาพดูสวยงามมากขึ้น, ฟีเจอร์ Super Bright Camera ที่ใช้ AI ร่วมกันกับกล้องในการทำให้ภาพถ่ายตอนกลางคืนดูสวยงาม และ noise น้อยลง รวมถึงการจดจำใบหน้าเพื่อใส่สติ๊กเกอร์ในภาพที่ถ่ายได้ คล้ายกับ Snapchat
ยังไม่พอ LG ยังเพิ่มปุ่มด้านข้างซ้าย สำหรับเรียกเจ้า Google Assistant มาใช้งานโดยเฉพาะ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรมากกับซัมซุงที่ทำปุ่ม Bixby ด้านข้างตั้งแต่ Galaxy S8 เป็นต้นมา และข่าวร้ายคือ มันไม่สามารถเปลี่ยนไปให้ใช้กับฟังก์ชันอื่น ๆ ได้ แต่ข่าวดีคือ สามารถปิดการใช้งานของมันได้ถ้าไม่ต้องการ แต่ค่าเบื้องต้นก็ยังคงเปิดค้างไว้อยู่ดี แถมตัวเครื่องยังใส่ไมโครโฟนที่สามารถฟังเสียงได้ในระยะไกล ทำให้สามารถออกคำสั่งได้ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม
กล้องมุมมองกว้างคล้ายเดิม เพิ่มเติมคือความละเอียดเท่ากล้องหลัก
หนึ่งในจุดขายสำคัญของ LG G7 ThinQ นั้นก็คือกล้อง ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ซึ่งนอกเหนือไปจากคุณสมบัติด้าน AI ที่กล่าวไปแล้วนั้น LG ยังได้นำจุดขายเดิมที่เคยทำไว้ตั้งแต่ LG G5 เป็นต้นมามาใช้ นั่นก็คือกล้องหลังคู่ที่ตัวหนึ่งเป็นกล้องแบบมุมมองกว้าง ที่รอบนี้ กล้องมุมมองกว้างนั้นไม่ได้เว้ามากเกินกว่าที่ควรเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ๆ แล้ว แต่ก็ต้องแลกด้วยมุมมองของภาพที่แคบลงไปนิดหนึ่ง
การแลกเปลี่ยนที่ฟังดูเหมือนแย่นี้ กลับมีสิ่งหนึ่งที่ดีขึ้นกว่าเดิม คือ LG เลือกที่จะใช้เซ็นเซอร์ในกล้องมุมมองกว้างให้เป็นตัวเดียวกันกับกล้องหลัก ที่มีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ทว่าระบบกันสั่นยังคงสงวนไว้กับกล้องหลักเหมือนเดิม ไม่ใช่ระบบกันสั่นคู่แบบเดียวกับ Galaxy Note 8, Galaxy S9 หรือแม้แต่ iPhone X
ส่วนกล้องหน้านั้น ได้ปรับปรุงใหม่ที่ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ทำให้การถ่ายภาพเซลฟี่นั้นดูดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน ๆ ของ LG ที่เคยออกมา
ลำโพงแบบใหม่ และติ่งด้านบน
อีก 2 สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้กับ LG G7 ThinQ นั่นก็คือ ระบบเสียง และหน้าจอของมัน
เริ่มต้นด้วยระบบเสียงของมันก่อน ที่รอบนี้ LG เลือกที่จะใช้เทคนิกใหม่ในการทำลำโพงด้วยการใส่แค่ตัวระบบสั่นเสียง แทนที่จะใส่ตัวลำโพงทั้งชุดเข้าไปในเครื่อง ซึ่ง LG เลือกที่จะทำแบบนี้ เพราะว่า LG ต้องการให้ทั้งเครื่องเป็นสื่อที่ส่งเสียงออกมาจากลำโพงมากกว่า ด้วยการใช้เสียงที่สั่นออกมาผ่านกรอบของเครื่อง ซึ่งสามารถเร่งเสียงให้ดังยิ่งขึ้นเพียงวางบนวัสดุใด ๆ ก็ได้ เพื่อเพิ่มความดังของลำโพงโดยไม่ต้องใช้ลำโพงเพิ่ม โดย LG เรียกระบบเสียงนี้ว่า Boombox
ที่สำคัญคือ LG ยังคงไว้ช่องเสียบหูฟังเหมือนเดิม พร้อมกับระบบ Hi-Fi Quad DAC ที่ใช้ตั้งแต่ LG G6 เป็นต้นมา รวมถึงรองรับมาตรฐาน DTS X ที่สามารถจำลองเสียงรอบตัว 3 มิติ สูงสุดถึงระบบเสียง 7.1
ขณะที่หน้าจอของ LG G7 ThinQ นั้น มาพร้อมกับจอ LCD หลังจากเกิดปัญหาเรื่องพิกเซลบนหน้าจอ POLED ค้างถาวรใน LG V30 แต่ LG เลือกที่จะเพิ่มความสว่างด้วยเทคนิกที่เรียกว่า Super Bright Display ที่สามารถดันความสว่างได้สูงถึง 1,000 nit และสีสันถูกต้อง 100% ด้วยมาตรฐานสี DCI-P3
แต่ LG ก็เลือกที่จะทำหน้าจอแบบ FullVision อัตราส่วน 19.5:9 ความละเอียด 3,120 x 1440 พิกเซล ที่แลกมาด้วยติ่งด้านบนเครื่อง (LG เรียกแบบหรู ๆ ว่า New Second Screen) ที่ข่าวดีคือ สามารถซ่อนมันได้ด้วยซอฟต์แวร์ หรือถ้าไม่อยากซ่อน ก็สามารถปรับแต่งสีสันต่าง ๆ ได้
สเปกของ LG G7 ThinQ
- หน้าจอ 6.1 นิ้ว ความละเอียด QHD+ ที่ 3120 x 1440 พิกเซล (564 PPI) FullVision Super Bright Display
- Qualcomm Snapdragon 845 Mobile Platform
- กล้องหลัง ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล กล้องมุมมองกว้าง เลนส์กว้าง 107 องศา f/1.9 กล้องหลัก เลนส์กว้าง 71 องศา f/1.6
- กล้องหน้า ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล เลนส์กว้าง 80 องศา f/1.9
- แบตเตอรี่ขนาด 3000 mAh
- Android 8.0 Oreo ครอบด้วย LG UX รุ่นปรับปรุง
- ขนาด 153.2 x 71.9 x 7.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 162 กรัม
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a, b, g, n, ac, บลูทูธ 5.0 BLE, NFC, USB Type-C 2.0
- กันน้ำกันฝุ่นได้ระดับ IP68 ผ่านมาตรฐานทางการทหาร MIL-STD 810G
- ระบบชาร์จไฟด้วย Qualcomm Quick Charge™ 3.0 และระบบชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi
ราคาและการวางจำหน่าย
LG G7 ThinQ จะมีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่น คือ LG G7 ThinQ และ LG G7+ ThinQ โดยทั้ง 2 ตัวจะแตกต่างกันที่ความจุของเครื่อง และขนาดของแรมในเครื่อง โดยที่รุ่นเล็กอย่าง LG G7 ThinQ จะมาพร้อมกับหน่วยความจำ 64GB และแรม 4GB ส่วนรุ่นพี่อย่าง LG G7+ ThinQ จะมาพร้อมกับหน่วยความจำ 128GB และแรม 8GB
โดยทั้ง 2 รุ่นจะมีทั้งหมด 4 สี ประกอบด้วย New Platinum Gray, New Aurora Black, New Moroccan Blue และ Raspberry Rose โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในอีกไม่กี่วันข้างหน้าในเกาหลีใต้ ตามมาด้วยอเมริกาเหนือ, ยุโรป, ละตินอเมริกา และเอเชีย ส่วนราคายังไม่ได้ระบุไว้